วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สบู่ก้อนสบู่สมุนไพร

การผลิตสบู่ก้อน


การผลิตสบู่ก้อน สบู่ก้อนนั้นมีองค์ประกอบหลักๆ เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ น้ำมัน น้ำด่าง คุณสมบัติของสบู่เพื่อขจัดคราบเหงือไคล ทำความสะอาดผิวหนัง ซึ่งมีฤทธิ์กรดอ่อน ๆ คุณภาพ ของสบู่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมัน (น้ำมันจากพืชหรือน้ำมันจากสัตว์) ขึ้นอยู่กับน้ำด่าง (น้ำด่าง ธรรมชาติ เช่น น้ำขี้เถ้า น้ำด่างสังเคราะห์ เช่น โซดาไฟล์ ) คุณภาพของฟองสบู่ และกลิ่น ขึ้นอยู่กับที่มาและส่วนผสมของน้ำมันและน้ำด่าง

วิธีการง่าๆ กับการทำสบู่

ส่วนประกอบและปริมาณ

1. น้ำมันปาล์ม 70%
2. โซดาไฟล์ 10%
3. น้ำสะอาด 20%

วิธีทำ

1. นำโซดาไฟล์ (ซึ่งเป็นด่างอย่างแรก อันตรายต้องใช้อย่างระมัดระวัง ภาชนะที่ใส่ ต้องเป็นแก้ว หรือสแตนเลนส์) ค่อยๆ ผสมลงในน้ำสะอาด คนเบาๆ (โซดาไฟล์ เมื่อผสมน้ำ จะเกิดความร้อนขึ้นทันที ยังคงอันตรายมาก) ค่อยๆ คนจนความร้อนลดลงเหลือ 40 องศา (เอาเทอร์โมมิเตอร์มาวัดอุณหภูม )
2. เอาน้ำมันปาล์มมาทำให้ร้อนโดยการนึ่ง ให้อุณหภูมิอยู่ที่ 40 องศา
3. เอาน้ำโซดาไฟล์ค่อยๆ เทผสมลงในน้ำมัน (ทั้งน้ำโซดาไฟล์และ น้ำมันต้องมีความร้อน เท่ากับ 40 องศา) คนเบาๆ ช้าๆ เริ่มมีความเหนียวหนืด
4. เทสบู่ที่ได้ลงในแม่พิมพ์ ตั้งไว้ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็จะได้สบู่ก้อนาตามความต้องการ คุณสมบัติของน้ำมันแต่ละชนิด มีผลต่อการเกิดฟองและกลิ่นของสบู่ทดลองเอาน้ำมันปาล์ม 50% น้ำมันมะพร้าว 20%ฟองสบู่และกลิ่น จะแตกต่างกับการทำสบู่จากน้ำมันปาล์ม เพียงอย่างเดียว ถ้าลองเอาน้ำมันพืชหลากหลายชนิดที่ว่า มาผสมกันส่วนผสมหรือเปอร์เซ็นต์ ในการผสมน้ำมัน จะมีผลต่อเนื้อสบู่ ฟองสบู่ และกลิ่นสบู่

การทำสบู่สมุนไพรแบบง่ายๆ ส่วนผสม

1. น้ำมันปาล์ม 50%
2. น้ำมันมะพร้าว 20%
3. โซดาไฟล์ 10%
4. น้ำสะอาด 15%
5. น้ำสมุนไพรเข้มข้น 5%

วิธีทำ

1. นำน้ำมันปาล์มกับน้ำมันมะพร้าวผสมให้เข้ากันและนำไปนึ่งให้ได้ความร้อนที่ 40 องศา
2. เอาโซดาไฟล์ผสมกับน้ำ ปรับความร้อนให้ได้ที่ 40 องศา
3. นำน้ำโซดาลงในน้ำมันค่อยๆ คนช้าๆ จากของเหลวเริ่มจะหนืด
4. นำน้ำสมุนไพรค่อยๆ เติมและคนช้าๆ จนเกิดเป็นสบู่ จนเริ่มมีความหนืดอีกครั้ง เทใส่แม่พิมพ์ตั้งไว้นาน 2 อาทิตย์ แกะออกจากพิมพ์

สมุนไพรที่จะมาทำเป็นส่วนผสมของสบู่นั้น แบ่งออก 4 หมวดใหญ่ ๆ

1. สมุนไพรประเภทรักษาเชื้อรา แก้ผดผื่นคัน อักเสบ สมานแผล ได้แก่ เปลือกมังคุด ใบทองพันชั่ง ใบชุมเห็ด บัวบก
2. สมุนไพร ประเภท ดับกลิ่นตัว ถ่านไฟ ตะไคร้ ตะไคร้หอม หัวเปราะหอม สาระแหน่ กระเพรา ฯ
3. สมุนไพร ประเภท ทำให้ผิวขาว กัดฝ้า ประเภทที่มีรสเปรี้ยวหรือส้มเกือบทุกชนิด หรือแครอท
4. สมุนไพร ประเภท บำรุงผิว ขมิ้น ลูกตาลสด ประแตงทุกชนิด มะเขือเทศ น้ำผึ้ง นม ฯ คนที่จะนำเอาสมุนไพรหลายๆ ชนิดมาผสมเป็นสมุนไพรผสมทำสบู่นั้นต้องดูด้วยว่าสมุนไพรอะไร จะไปฆ่าฤทธิ์สมุนไพรอื่นหรือไม่ หรือผสมกันแล้วเกิดการแยกตัวหรือผสมทำเป็นสบู่แล้วไป ทำลาย ความเป็นด่างของสบู่ ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำ ทดลองแต่เล็ก ๆ น้อย ไปก่อนจนเกิดความชำนาญ ไม่มีอะไรเป็นสูตรตายตัว ไม่มีอะไรเกิดความตั้งใจของเราได้ ทำอย่างมีเป้าหมาย กำหนดเส้นชัย แล้วไปให้ถึง คนผลิตสบู่สมุนไพรเปลือกมังคุด เริ่มแรก สนธยา ชำนะ ก็ใช้วิธีผสมสบู่แบบกวนมือ คือเอาน้ำมันผสมน้ำด่าง เติมน้ำ สมุนไพรเปลือกมังคุดลงไป ตั้งทิ้งไว้จนแห้ง แล้วมาบดอีกครั้งอัดเป็นแท่ง แล้วปั้มรูปขึ้นก้อน การผลิตแบบนี้ กว่าจะได้สบู่มาจำหน่ายช้ามาก เปลี่ยนวิธีใหม่ ทำสบู่ขึ้นมาก่อน แล้วมาผสมน้ำสบู่สมุนไพรทีหลังอัดเป็นแท่ง แล้วปั้มขึ้นรูป แบบนี้ก็ยังช้า ต้องมีเครื่องอุปกรณ์ การทำหลายชิ้น ปริมาณทำแต่ละครั้งปริมาณน้อย ไม่ทันต่อตลาด ที่ขยายตัวขึ้น เปลี่ยนวิธีใหม่ เอาสูตรน้ำมันและสูตรส่วนผสมการทำสบู่ ไปจ้างโรงงานผลิตสบู่โดยเฉพาะ ทำเป็นไขสบู่ ขึ้นมาก่อน ควบคุมความชื้นให้พอเหมาะ แล้วนำมาพรมน้ำสมุนไพรเปลือกมังคุด อัดเป็นแท่ง แล้วปั้มขึ้นรูป

สูตรสมุนไพรสบู่เปลือกมังคุด

1. เปลือกมังคุดตากแห้ง (ต้องเป็นเปลือกมังคุดที่ลูกสุกดำทำให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดหรือ อบจนแห้งสนิท) ช่วยสมานแผล ลดการอักเสบ 40%
2.ใบชุมเห็ดแห้งแก้กลากเกลื้อน เชื้อรา 10%
3. เสลดพังพอนแห้ง แก้ผลผื่นคัน 10%
4. ทองพันชั่งแห้ง แก้เชื้อรา 10%
5.ขมิ้นอ้อย แห้ง ช่วยบำรุงผิว 10%
6. หัวเปราะแห้ง ช่วยบำรุงผิว กลิ่นหอม 10%
7. ว่านสาวหลา ทำให้กลิ่นหอม 5%
8. สมุนไพรอื่นๆ ที่มีสรรพคุณสมานแผลรวม 10% หมายเหตุ สมุนไพรทั้งหมดต้องแห้ง และเป็นชิ้นเล็กๆ

วิธีทำ

นำสมุนไพรทั้งหมดมาเติมโดยน้ำหนักสมุนไพร / น้ำอัตราส่วน 1/10 ต้องจดคือเคียว ให้เหลือ น้ำยาครึ่งหนึ่งกรองเอากากออก เอาน้ำยาที่ได้ไปใช้ประโยชน์ต่อไป สูตรสบู่ สมุนไพร หน้าขาว ทำให้ฝ้า จุดด่างดำ จางลง

สูตรที่ 1

1. เนื้อมะขามเปียก 50%
2.เปลือกมังคุด 5%
3.หัวเปราะ 15% 4.ขมิ้น 10% 5.ว่านสาวหลา 10% 6. น้ำผึ้ง 10%

วิธีทำ

นำสมุนไพร 1 - 5 มาต้มอัตราส่วน 2 / 10 เคี่ยวเอาน้ำยาครึ่งหนึ่ง กรองเอากากออก เอาน้ำยาไปใช้ประโยชน์ต่อไป

สูตรที่ 2

น้ำส้มแขก ( สับสันดาน ,เล็บควาย ) มาแทนมะขามเปลือก

วิธีทำ

น้ำยาสมุนไพรก็เหมือนกับสูตรที่ 1 สูตรสบู่สมุนไพรทั้ง 2 สูตรนี้ สามารถนำมาผสม กับแป้งดินสอพอง ทำเป็นผงพอกหน้า ทำให้หน้าขาว แก้ฝ้าได้ดีหนักแล

สูตรสบู่สมุนไพรบำรุงผิว

1. นำหัวขมิ้นสดมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้งสนิท แล้วนำไปบดเป็นผง
2. นำขมิ้นมา 10 กรัม ( 1 ก.ก. มี 1,000 กรัม ) ละลายน้ำ 900 cc
3. นำผงขมิ้น 10 กรัม ผสมกับไขสบู่ 3 ก.ก. แล้วค่อยๆ เติมน้ำขมิ้น
4. พรมไขสบู่กับน้ำขมิ้นและผง

สบู่ก้อนพื้นฐาน

สูตรสบู่ก้อนพื้นฐาน

สูตรที่ 1 เป็นสบู่แข็ง สีขาว มีฟองมาก

น้ำมันมะพร้าว 200 กรัม
น้ำมันปาล์ม 200 กรัม
โซเดียมไฮดรอกไซด์ 60 กรัม
น้ำ 150 กรัม
ขั้นตอนการทำสบู่ก้อนพื้นฐาน

เตรียมพิมพ์ที่จะใช้ทำ
นำเอาส่วนของน้ำมันมารวมกัน อุ่นให้ได้อุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส
นำเอาด่างมาละลายน้ำ โดยค่อย ๆ เทด่างลงในน้ำพร้ดมทั้งคนตลอดเวลา ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะจะเกิดความร้อนสูง
รอจนน้ำด่างมีอุณหภูมิลดลงจนถึง 40 องศาเซลเซียส ค่อย ๆ เทลงในน้ำมัน
ค่อย ๆ คนจนเข้ากันดี เทลงพิมพ์
พักสบู่ไว้
สูตรที่ 2 เป็นสบู่ก้อนแบบใส (กลีเซอรีน)

กลีเซอรีน 500 กรัม
น้ำ 50 กรัม
ผงสมุนไพร 0.5-1.0 กรัม
น้ำหอม 2.5 มิลลิลิตร
แอลกอฮอล์ (ใช้ละลายน้ำหอม) 5 มิลลิลิตร
สี 5 มิลลิลิตร
ขั้นตอนการทำสบู่ใส

เตรียมพิมพ์ที่จะใช้ทำ
นำเอากลีเซอรีนมาหลอมด้วยความร้อน เติมน้ำ คนจนละลายเข้ากันหมด
ยกลงจากเตา คนช้า ๆ แต่งสี และกลิ่นตามต้องการ
ค่อย ๆ คนจนเข้ากันดี เทลงพิมพ์ รอจนสบู่แข็งตัว แกะออกจากพิมพ์

สบู่สมุนไพร

ลองนำ สบู่ก้อนธรรมชาติ สบู่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของไขมัน ด่าง และน้ำที่อุณหภูมิพอเหมาะ ผู้ผลิตต้องศึกษาคุณสมบัติของส่วนประกอบแต่ละชนิดก่อนเริ่มตั้งสูตร และลงมือผลิต นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังสามารถเติมส่วนผสมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคุณภาพของสบู่ เช่น น้ำนมแพะ น้ำนมวัว หรือสมุนไพร เป็นต้น



ส่วนประกอบหลัก

1. ไขมันหรือน้ำมัน ไขมันหรือน้ำมัน ทั้งจากสัตว์และจากพืชหลากหลายชนิด สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตสบู่ได้ กรดไขมันนี้จะรวมตัวกับสารอื่น อยู่ในรูปของกลีเซอไรด์ เมื่อนำด่างเข้ามาผสมและทำปฏิกิริยากับกรดไขมันจะหลุดออกจากกลีเซอไรด์ มารวมตัวกันเป็นสบู่ สารที่เกาะอยู่กับกรดไขมันก็จะออกมาเป็นกลีเซอรีน น้ำมันแต่ละชนิดก็จะให้สบู่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป กรดไขมันแต่ละชนิดเมื่อรวมตัวกับด่างแล้ว จะให้สบู่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น กรดลอริก (lauric acid) มีมากในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่ทำปฏิกิริยากับด่างแล้วให้สารที่มีฟองมาก เป็นต้น ดังนั้นจึงควรศึกษาคุณสมบัติของสบู่ที่ได้จากไขมันต่างชนิดกัน ดังนี้ ตาราง คุณสมบัติ – อายุการใช้งานของน้ำมันแต่ละชนิด ชื่อน้ำมัน คุณสมบัติ อายุการใช้งาน น้ำมันมะกอก สบู่ที่ได้จะเป็นก้อนแข็ง มีฟองครีมนุ่มนวล มีคุณค่าในการบำรุงผิวมาก มากกว่าสามเดือน น้ำมันงา สบู่ที่ได้จะนิ่ม มีค่าการชำระล้างปากกลาง แต่มีวิตามินอีสูงมาก แต่อาจมีกลิ่นที่บางคนไม่ชอบ มากกว่าสามเดือน น้ำมันมะพร้าว สบู่ที่ได้จะมีก้อนแข็ง มีฟองครีมนุ่มนวลจำนวนมาก แต่ไม่ควรใช้เกิน 30% เพราะมีค่าการชำระล้างสูง อาจทำให้ผิวแห้ง มากกว่าสามเดือน น้ำมันรำข้าว สบู่ที่ได้จะนิ่ม ค่าการชำระล้างปานกลาง แต่มีวิตามินอีมาก เหมาะสำหรับบำรุงผิว มากกว่าสามเดือน น้ำมันถั่วเหลือง สบู่ที่ได้จะนิ่ม ค่าการชำระล้างปานกลาง แต่มีวิตามินอีมาก มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวยืดหยุ่นได้ดี เป็นน้ำมันอายุสั้น ทำสบู่แล้วควรใช้ให้หมดภายในสามเดือน น้ำมันเมล็ดทานตะวัน สบู่ที่ได้จะนิ่ม ค่าการชำระล้างปานกลาง มีวิตามินอีมาก เป็นน้ำมันอายุสั้น ทำสบู่แล้วควรใช้ให้หมดภายในสามเดือน น้ำมันปาล์ม สบู่ที่ได้จะเป็นก้อนแข็ง มีฟองปานกลาง ค่าการชำระล้างสูง ควรใช้ไม่เกิน 30% เพราะอาจทำให้ผิวแห้ง มากกว่าหกเดือน ไขมันวัว สบู่ที่ได้จะเป็นก้อนแข็ง มีฟองปานกลาง ค่าการชำระล้างสูง เหมาะสำหรับผสมทำสบู่สำหรับซักล้าง มากกว่าหกเดือน ไขมันหมู สบู่ที่ได้จะมีสีขาวและนิ่ม มีฟองน้อย ค่าการชำระล้างปานกลาง มีคุณสมบัติในการบำรุงผิว มากกว่าสามเดือน



2. ด่าง ชนิดของด่างที่ใช้ มี 2 ชนิด - โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือโซดาไฟ (Sodium hydroxide) ใช้สำหรับทำสบู่ก้อน - โปแตสเซียม ไฮดรอกไซด์ (Potassium hydroxide) ใช้สำหรับทำสบู่เหลว จากตาราง แสดงปริมาณด่างที่ใช้ต่อไขมัน 100 กรัม ภายหลังทำปฏิกิริยาจะมีไขมันเหลือประมาณร้อยละ 5 - 8 อย่างไรก็ดี อาจมีความผิดพลาดเนื่องจากการใช้มาตราชั่ง ตวง วัด และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ หรือวิธีการผลิตอื่น ที่ทำให้ปริมาณด่างเหลือมากกว่าที่คำนวณไว้ จึงจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพ โดยการวัด pH ทุกครั้งที่ผลิตและหลังจากสบู่แข็งตัวแล้ว ตาราง ปริมาณด่างที่ทำปฏิกิริยากับไขมัน จำนวน 100 กรัม สบู่ที่ได้มีไขมันประมาณ 5 – 8 % ที่ ชื่อน้ำมัน โซดาไฟ (กรัม) โปตัสเซียม ไฮดรอกไซด์ (กรัม) 1 ปาล์ม 13.06 18.32 2 มะพร้าว 16.92 23.74 3 ละหุ่ง 11.83 16.59 4 มะกอก 12.46 17.48 5 งา 12.66 17.76 6 ถั่วเหลือง 12.46 17.48 7 รำข้าว 12.33 17.30 8 เมล็ดทานตะวัน 12.56 17.62 9 ขี้ผึ้ง 6.17 10 ไขมันวัว 12.92 18.12 11 ไขมันหมู 12.76 17.90 12 ไขมันแพะ 12.72 17.85



3. น้ำ น้ำที่ใช้ทำสบู่ได้ต้องเป็นน้ำอ่อน ถ้าเป็นนำกระด้างจะทำให้สบู่ไม่เกิดฟอง น้ำที่เหมาะในการทำสบู่มากที่สุดคือน้ำฝน ปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากใช้น้ำมากต้องทิ้งไว้หลายวัน สบู่จึงจะแข็งตัว น้ำน้อยเกินไปอาจทำให้ปฏิกิริยาไม่สมบูรณ์ หากใช้ไขมันแต่ละชนิดรวมกันแล้ว 100 กรัม ควรให้น้ำประมาณ 35-38 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มตามสัดส่วน



4. ส่วนผสมเพิ่มเติมในสบู่ - บอแร็กซ์ ...สารบอแร็กซ์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ ...แต่สารนี้ช่วยให้สบู่มีสีสันสวยงามและทำให้เกิดฟองมาก... มีจำหน่ายตามร้านขายยาหรือร้านขายของชำ มีชื่อเรียกว่า ผงกรอบ หรือผงนิ่ม ส่วนใหญ่บรรจุในถุงพลาสติก - น้ำหอม.น้ำหอมก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เช่นกัน แต่ถ้าใช้จะทำให้สบู่มีกลิ่นดีขึ้น ถ้าไขมันที่ทำสบู่นั้นเหม็นอับใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดผสมจะช่วยให้กลิ่นหอมยิ่งขึ้นและไม่เน่า - สารกันหืน การผลิตสบู่ไว้ใช้เอง ซึ่งใช้หมดในระยะเวลาสั้น จำเป็นต้องใส่สารกันหืนเมื่อต้องการเก็บไว้เป็นเวลานาน - สมุนไพร ใช้เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ต่อผิวหนังตามคุณสมบัติของสมุนไพรนั้นๆ

วิธีการเติมสมุนไพรลงในสบู่ มี 2 วิธี คือ

o เติมในระหว่างกระบวนการทำสบู่ วิธีการนี้ ผู้ผลิตควรเติมสมุนไพรหลังจากกวนส่วนผสมของสบู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว การเติมควรเติมสมุนไพรก่อนเทสบู่ลงแบบ เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับสมุนไพรประเภทสกัดเป็นผงแอลกอฮอล์ และสกัดด้วยน้ำมัน

o ทำสบู่พื้นฐานขึ้นมาก่อน แล้วนำมาหลอมใหม่ หลังจากนั้นจึงเติมสมุนไพรลงไป วิธีนี้เรียกว่า "การทำสบู่สองขั้นตอน" เหมาะสำหรับสมุนไพรที่สกัดด้วยการคั้นหรือการต้ม สัดส่วนการเติมสมุนไพรลงในสบู่

o สมุนไพรผง ควรเติมในปริมาณ 1-5% ของน้ำหนักสบู่

o สมุนไพรที่สกัดด้วยน้ำต้มหรือน้ำคั้น ควรเติมในปริมาณ 10% ของน้ำหนักสบู่ และต้องลดในส่วนของน้ำที่ใช้ละลายด่างออกในปริมาณที่เท่ากัน

o สมุนไพรที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ ควรเติมได้ไม่เกิน 10% ของน้ำหนักสบู่ และหักลดในส่วนของน้ำที่ใช้ละลายด่างในปริมาณที่เท่ากัน เช่นเดียวกันกับสมุนไพรที่สกัดด้วยน้ำมัน - สารเพิ่มคุณภาพสบู่ ส่วนใหญ่เติมเพื่อให้ความชุ่มชื้น นั้นก็คือกลีเซอรีน ซึ่งในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะแยกเกล็ดสบู่และกลีเซอรีนไว้ ในกรณีนี้ผู้ผลิตสบู่เอง ไม่จำเป็นต้องเติม กลีเซอรีน เพราะมีอยู่แล้วในสบู่ แต่หากต้องการคุณสมบัติเพิ่มขึ้น ก็อาจเติมได้ 5-10% เครื่องมืออุปกรณ์ในการผลิต อาจใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ได้ทุกชิ้น ยกเว้นในขั้นตอนที่จะต้องสัมผัสกับโซดาไฟ ทุกขั้นตอนภาชนะที่ใช้ต้องหลีกเลี่ยงชนิดที่เป็นโลหะ หรืออลูมิเนียมเพราะอาจเกิดการกัดกร่อนเสียหายทั้งภาชนะและคุณสมบัติบางประการของสบู่ ควรจะใช้ประเภทหม้อเคลือบสแตนเลสหรือแก้วทนไฟแทน

ซึ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นแยกได้ดังนี้

1. หม้อสแตนเลส 2 ใบ (ไว้สำหรับตุ๋นน้ำมัน)

2. เทอร์โมมิเตอร์ 2 อัน (อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส)

3. ไม้พาย 1 อัน

4. ทัพพี 1 อัน (สำหรับตักสบู่)

5. ถ้วยตวงแก้ว 1 ใบ (สำหรับผสมสารละลายโซดาไฟ)

6. ถาดใส่น้ำ 1 ใบ (สำหรับหล่อที่ใส่สารละลายโซดาไฟให้อุณหภูมิลดลง)

7. เหยือก 1 ใบ (สำหรับใส่สารสะลายโซดาไฟที่อุ่นลงแล้ว)

8. แท่งแก้ว (สำหรับกวนโซดาไฟ)

9. เตาไฟฟ้า หรือเตาแก๊ส

10. เครื่องชั่งขนาด 1-2 กิโลกรัม

11. ถุงมือ,แว่นตา,เสื้อคลุม,ที่ปิดจมูก

12. แม่พิมพ์สบู่ ใช้กล่องไม้ หรือ กระดาษแข็งรอด้วยกระดาษไข หรือพลาสติด

13. อื่น ๆ ผ้าเช็ดมือ , กระดาษทิชชู ,กระดาษหนังสือพิมพ์ใช้แล้ว, กระดาษวัดค่า pH



การตั้งสูตรสบู่

1. คัดเลือกไขมัน ที่ใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ไขมันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ตั้งสัดส่วน ปริมาณไขมันแต่ละชนิด

2. คัดเลือกชนิดด่าง ตามวัตถุประสงค์ เช่น ต้องการทำสบู่ก้อนใช้โซดาไฟ ทำสบู่เหลวใช้ โปรตัสเซียมไฮดรอกไซด์

3. คำนวณปริมาณด่าง ที่ใช้สูตร โดยน้ำหนักไขมันแต่ละชนิดมาคำนวณปริมาณด่างโซเดียม ไฮดรอกไซด์ที่ใช้ แล้วเอามารวมกันเป็นปริมาณรวมดังตัวอย่าง ตัวอย่างวิธีคำนวณ น้ำมันมะพร้าว 120 กรัม ใช้โซดาไฟ 20.304 (16.92*120/100) กรัม น้ำมันปาล์ม 80 กรัม ใช้โซดาไฟ 10.448 (13.06*80/100) กรัม น้ำมันมะกอก 300 กรัม ใช้โซดาไฟ 37.38 (12.46*300/100) กรัม รวมไขมัน 500 กรัม รวมโซดาไฟ 68.132 กรัม

4. คำนวณปริมาณน้ำที่ใช้ จากหลักข้อกำหนดปริมาณไขมัน 100 กรัม ควรใช้น้ำ 35 - 38 กรัม ฉะนั้น จากตัวอย่างสูตร จึงควรใช้น้ำ 175 - 190 ซีซี.



วิธีการและเทคนิคการผลิตสบู่

1. เตรียมแม่พิมพ์สบู่

2. เตรียมเครื่องมือทั้งหมด

3. ผู้ผลิตใส่เสื้อกันเปื้อน สวมถุงมือ ผ้าปิดปากและจมูก และแว่นตา

4. ชั่งด่างอย่างระมัดระวัง

5. ชั่งน้ำที่ใช้ ค่อย ๆ เติมด่างลงในน้ำอย่างช้า ๆ ระวังไม่ให้กระเด็น คนจนละลายหมด วัดอุณหภูมิ ประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส

6. ชั่งไขมันทั้งหมดผสมรวมรวมกัน วางบนเครื่องอังไอน้ำหรือตุ๋น วัดอุณหภูมิประมาณ 40 - 45 องศาเซลเซียส ยกลง

7. เช็คอุณหภูมิน้ำด่างในข้อ 5 อีกครั้ง

8. เมื่ออุณหภูมิน้ำด่างและไขมันใกล้เคียงกัน ค่อยเทน้ำด่างลงในไขมัน คนเบา ๆ เมื่อเทน้ำด่างหมด ให้คนแรง ๆ ควรคน 15 นาที พัก 5 นาที จนกระทั่งเนื้อของเหลวเป็นสีขุ่นจนหมด เทลงแบบพิมพ์

9. ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ แกะออกจากพิมพ์ ตัดเป็นก้อน

10. ตรวจสอบ pH บริเวณผิวสบู่ และเนื้อในสบู่บริเวณต่ำกว่าผิวประมาณ 2 มิลลิเมตร ถ้ามีค่า pH อยู่ระหว่าง 8 - 10 สามารถนำไปใช้ได้ หากมีค่าเกิน 10 เฉพาะที่บริเวณผิว ให้ตัดเฉพาะผิวนอกทิ้ง หากเนื้อในและผิวมีค่า pH เกิน 10 ทั้งสองบริเวณ แสดงว่าสบู่นั้นมีปริมาณด่างเกินกำหนด ไม่ควรนำไปใช้ เพราะอาจเกิดอันตรายทำให้ผิวเหี่ยว ซีด หรือคัน เมื่อสัมผัส

11. ห่อกระดาษ หรือบรรจุภาชนะแจกจ่ายในชุมชน



ข้อควรระวังในการผลิตสบู่

1. เพื่อความปลอดภัยของผู้ผลิต ควรสวมถุงมือยาง รองเท้า กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว ใส่ผ้าปิดปาก ปิดจมูก และแว่นตา ขณะที่ทำการผลิตสบู่

2. อุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้ ห้ามใช้วัสดุ อะลูมิเนียม ดีบุก สังกะสี หรือโลหะอื่น ๆ นอกจากที่แนะนำ เพราะโลหะเหล่านี้ จะทำปฏิกิริยากับโซดาไฟ เป็นอันตรายแก่ผู้ผลิตหรือผู้ใช้

3. เลือกใช้เครื่องชั่งที่เหมาะสม เช่น ชั่งของระหว่าง 1 - 3 กก. ให้ใช้เครื่องชั่งที่รับน้ำหนักได้สูงสุด 3 กก. กรณีที่ชั่งวัตถุต่ำกว่า 1 กก. ให้ใช้เครื่องชั่งที่รับน้ำหนักได้สูงสุด 1 กก. การผลิตสบู่ก้อน ให้ชั่งส่วนผสมทั้งหมดอย่างระมัดระวัง และตรวจสอบความแม่นยำของเครื่องชั่งสม่ำเสมอ

4. การใช้เทอร์โมมิเตอร์อันเดียววัดทั้งอุณหภูมิของน้ำด่าง และไขมันนั้น ต้องล้างน้ำและเช็ดให้สะอาดทุกครั้งที่จะเปลี่ยนชนิดการวัด

5. สถานที่ผลิตควรมีอ่างน้ำ หรือถังใส่น้ำสะอาดประมาณ 10 ลิตร เพื่อใช้กรณีฉุกเฉิน เช่น น้ำด่างกระเด็นถูกผิวหนัง

6. ห้ามเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 12 ปี และสัตว์เลี้ยง เข้าใกล้บริเวณที่ผลิต รวมถึงการให้ความรู้ และทำความเข้าใจถึงอันตรายของสารเคมี แก่สมาชิกที่ร่วมผลิต และบุตรหลาน

7. ซื้อโซเดียมไฮดรอกไซด์ เฉพาะที่ใช้ หรือเหลือเก็บเล็กน้อยเท่านั้น เก็บไว้ให้ห่างไกลจากเด็กและสัตว์เลี้ยง หากสามารถใส่กุญแจจะเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง ภาชนะที่ใส่ต้องปิดให้สนิท โซเดียมไฮดรอกไซด์ ที่เหลือเก็บต้องมีฉลากและวิธีการแก้ไข หรือวิธีการปฐมพยาบาลที่ภาชนะบรรจุทุกครั้ง การตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสบู่ ตรวจสอบค่า pH โดยตัดชิ้นสบู่เล็กน้อย เป็นแผ่นบาง ๆ ประมาณ 5 กรัม นำมาละลายย้ำ 10 มล. จุ่มกระดาษวัด pH วัดประมาณ 30 วินาที จนสีกระดาษคงที่ นำกระดาษ pH มาเทียบกับสีมาตรฐาน ที่กล่อง ถ้าสีเหมือนกับช่องใด ซึ่งมีค่า pH กำกับไว้ ทำให้ทราบค่า pH ของสบู่ได้ เช่น ดูจากลักษณะ ภายนอก เช่น การเกิดฟอง การล้างน้ำออก การทดสอบฟอง ความนุ่มหลังจากการใช้



วิธีการแก้ไขเมื่อถูกน้ำด่าง

1. เมื่อน้ำด่างกระเด็นสัมผัสผิวหนัง หรือนัยน์ตา - หากกระเด็นถูกผิวหนังหรือร่างกาย ให้ราดบริเวณผิวที่สัมผัสด้วยน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาวผสมน้ำสะอาดอย่างละเท่ากัน เพื่อทำให้โซเดียมไฮดรอกไซด์เปลี่ยนสภาพจากด่างเป็นกลาง ลดความระคายเคือง แล้วห้างด้วยน้ำเย็นหลายๆ ครั้ง จนไม่รู้สึกคัน แสบร้อน หากยังมีอาการให้ล้างน้ำต่อไปเรื่อยๆ แล้วนำส่งโรงพยาบาล - หากกระเด็นเข้าตา ให้ล้างน้ำสะอาดหลายครั้ง ตลอดเวลาที่นำส่งโรงพยาบาล

2. หากเกิดอุบัติเหตุกลืนกินโซเดียมไฮดรอกไซด์ ให้รีบดื่มนม แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดด่วน การทดสอบว่าสบู่จะดีหรือไม่ สบู่ที่ดีควรจะแข็ง สีขาว สะอาด กลิ่นดีและไม่มีรส สามารถขุดเนื้อสบู่ออกเป็นแผ่นโค้ง ๆ ได้ ไม่มันหรือลื่นจนเกินไป เมื่อใช้ลิ้นแตะดูไม่หยาบหรือสาก



วิธีการแก้ไขและการปรับปรุงสบู่ให้ดีขึ้น

1. เมื่อสบู่เป็นด่างเกินกำหนด ให้นำสบู่มาขูดเป็นฝอย ละลายใหม่ ด้วยน้ำ ครึ่งเท่าที่เคยใช้เดิม นำไปตั้งบนลังถึง ไม่ต้องคน เมื่อละลายหมด เติมกรดซิตริก คนเบาๆ วัดค่า pH จนได้ค่าตามต้องการ สบู่ที่ได้จะมีลักษณะเนื้อไม่แน่น ควรนำมาทำสบู่น้ำดีกว่า

2. ถ้าส่วนผสมไม่ข้น แสดงว่า ด่างน้อยไป แก้โดยเพิ่มด่างเข้าไปอีก เล็กน้อย แล้วกวนต่อไป

3. ส่วนผสมเป็นก้อนและแยกชั้น แสดงว่า ใช้ด่างมาก ให้เติมน้ำมันหรือกรดไขมัน ลงไปทีละน้อย แล้วตีต่อไป

4. สบู่ที่ได้เปราะ ตัดไม่สวย ให้เติมกรดไขมันหรือน้ำมันอีกตาม 5-10 เปอร์เซ็นต์

5. ถ้าสบู่ที่ผ่านขั้นตอนตามเวลาที่ทำทุกช่วงแล้ว แต่ยังมีส่วนผสมบางส่วนไม่แข็งตัวหรือแยกกันอยู่ หรือไม่ดีเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจแก้ไขให้ดีขึ้นดังนี้ - ตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำมันบรรจุอยู่ 2.8 ลิตร พร้อมทั้งเทส่วนที่เป็นของเหลวที่เหลืออยู่ในแบบพิมพ์.....ลงไปด้วย - นำไปต้มนานประมาณ10นาที อาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำมันอื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมประมาณ 2 ช้อนชา.....( ถ้ายังไม่ได้เติม ) ต่อจากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบพิมพ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปล่อยไว้ 2 วัน แล้วดำเนินการตามที่.....กล่าวมา การทำสบู่จากน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้า เริ่มด้วยการทำน้ำด่างขึ้นเองจากขี้เถ้า สรุปแล้ว สบู่ก้อนและสบู่เหลวผสมสมุนไพร เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์ ซึ่งหาได้ง่ายในท้องถิ่น ประเทศไทยสามารถผลิตเองได้ และหาซื้อได้ง่าย อีกทั้งยังมีสมุนไพรอีกมากมาย ในประเทศ วิธีการผลิตสบู่ก้อนและสบู่เหลวสมุนไพรก็ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน เกษตรกร ประชาชน สามารถผลิตได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ เครื่องจักรที่มีราคาแพง เพียงแต่ต้องฝึกฝนให้มากแล้วจะได้สบู่ที่มีคุณภาพ และสามารถส่งออกมาได้ในราคาสูงเป็นการเพิ่มรายได้ ช่วยเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิต ได้อีกทางหนึ่งด้วย



ตัวอย่างสูตรสบู่ก้อน สูตรที่ 1

สบู่สูตรนี้เป็นสบู่แข็ง มีสีขาว และให้ฟองมาก สบู่สูตรนี้ยังเหมาะเป็นสบู่พื้นฐานที่จะนำไปใส่ส่วนผสมต่างๆ เพื่อทำเป็นสบู่เอนกประสงค์อื่นๆ สำหรับใช้บ้านเรือน

ส่วนผสม 1. น้ำมันมะพร้าว 200 กรัม 2. น้ำมันปาล์ม 200 กรัม 3. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 60 กรัม 4. น้ำ 150 กรัม



วิธีทำ

1. เตรียมแม่แบบทำสบู่ตามขนาดและรูปร่างตามที่ต้องการ

2. ค่อย ๆ เทโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงในน้ำ ผสมให้เข้ากันตั้งทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเหลือ 40 องศาเซลเซียส

3. ผสมน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ใส่ภาชนะตั้งบนลังถึง หรือใช้วิธีการตุ๋น คนให้เข้ากันจนได้อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส แล้วยกลงจากไฟ

4. เทสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (ข้อ 2) ลงในน้ำมัน(ข้อ 3) คนให้เข้ากัน

5. คนไปเรื่อยๆ จนสบู่จับตัวเหนียวข้น สังเกตเนื้อข้นเหมือนนมข้น แล้วจึงเทลงพิมพ์ที่เตรียมไว้

6. ตั้งพิมพ์ไว้ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง จนสบู่จับตัวเป็นก้อนแข็ง ลองใช้นิ้วมือกดดู แล้วจึงเอาออกจากแบบเช็คค่า pH ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 9.5 - 10 เก็บต่อไปอีกนาน 6 - 8 สัปดาห์ เช็คค่า pH ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งควรจะอยู่ระหว่าง 8 - 9 จึงนำไปใช้



สูตรที่ 2 สบู่สูตรนี้เป็นสบู่สีขาวขุ่น แข็ง และให้ฟองมาก สามารถนำไปใช้เป็นสบู่ถูกตัว สบู่ใช้ในบ้านเรือน สบู่ซักผ้า สบู่ล้างจาน

ส่วนผสม 2. น้ำมันมะพร้าว 120 กรัม 3. น้ำมันปาล์ม 80 กรัม 4. น้ำมันมะกอก 200 กรัม 5. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 56 กรัม 6. น้ำ 140 กรัม

วิธีทำ

1. เตรียมแม่แบบทำสบู่ตามขนาดและรูปร่างตามที่ต้องการ

2. ค่อย ๆ เทโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงในน้ำ ผสมให้เข้ากันตั้งทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเหลือ 40 องศาเซลเซียส

3. ผสมน้ำมันทั้งหมดเข้าด้วยกัน ใส่ภาชนะตั้งบนลังถึง หรือใช้วิธีการตุ๋น คนให้เข้ากันจนได้อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส แล้วยกลงจากไฟ

4. เทสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (ข้อ 2) ลงในน้ำมัน(ข้อ 3) คนให้เข้ากัน

5. คนไปเรื่อยๆ จนสบู่จับตัวเหนียวข้น สังเกตเนื้อข้นเหมือนนมข้น แล้วจึงเทลงพิมพ์ที่เตรียมไว้

6. ตั้งพิมพ์ไว้ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง จนสบู่จับตัวเป็นก้อนแข็ง ลองใช้นิ้วมือกดดู แล้วจึงเอาออกจากแบบเช็คค่า pH ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 9.5 - 10 เก็บต่อไปอีกนาน 6 - 8 สัปดาห์ เช็คค่า pH ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งควรจะอยู่ระหว่าง 8 - 9 จึงนำไปใช้



สูตรที่ 3 สบู่สูตรนี้มีน้ำมันมะพร้าวเปอร์เซ็นต์สูง จึงมีฟองมาก น้ำมันละหุ่งและน้ำมันรำข้าว ทำให้เพิ่มความชุ่มชื้นผิว สามารถนำไปปรับปรุงเป็นสบู่บำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้น โดยการเติมสมุนไพรเพิ่มความชุ่มชื้นลงไปได้อีก

ส่วนผสม 1. น้ำมันมะพร้าว 120 กรัม 2. น้ำมันปาล์ม 60 กรัม 3. น้ำมันมะกอก 80 กรัม 4. น้ำมันละหุ่ง 100 กรัม 5. น้ำมันรำข้าว 40 กรัม 6. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 55 กรัม 7. น้ำ 140 กรัม



วิธีทำ

1. เตรียมแม่แบบทำสบู่ตามขนาดและรูปร่างตามที่ต้องการ

2. ค่อย ๆ เทโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงในน้ำ ผสมให้เข้ากันตั้งทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเหลือ 40 องศาเซลเซียส

3. ผสมน้ำมันทั้งหมดเข้าด้วยกัน ใส่ภาชนะตั้งบนลังถึง หรือใช้วิธีการตุ๋น คนให้เข้ากันจนได้อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส แล้วยกลงจากไฟ

4. เทสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (ข้อ 2) ลงในน้ำมัน(ข้อ 3) คนให้เข้ากัน

5. คนไปเรื่อยๆ จนสบู่จับตัวเหนียวข้น สังเกตเนื้อข้นเหมือนนมข้น แล้วจึงเทลงพิมพ์ที่เตรียมไว้

6. ตั้งพิมพ์ไว้ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง จนสบู่จับตัวเป็นก้อนแข็ง ลองใช้นิ้วมือกดดู แล้วจึงเอาออกจากแบบเช็คค่า pH ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 9.5 - 10 เก็บต่อไปอีกนาน 6 - 8 สัปดาห์ เช็คค่า pH ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งควรจะอยู่ระหว่าง 8 - 9 จึงนำไปใช้



สูตรที่ 4 สบู่สูตรนี้เป็นสบู่สีขาวให้ฟองนุ่ม และฟองทนนาน เนื้อสบู่นุ่ม สบู่สูตรนี้ใช้น้ำนมแพแทนที่น้ำ

ส่วนผสม 1. น้ำมันมะพร้าว 120 กรัม 2. น้ำมันปาล์ม 40 กรัม 3. น้ำมันมะกอก 240 กรัม 4. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 56 กรัม 5. น้ำนมแพะ 160 กรัม



วิธีทำ

1. เตรียมแม่แบบทำสบู่ตามขนาดและรูปร่างตามที่ต้องการ

2. ผสมน้ำมันทั้งหมดเข้าด้วยกัน ใส่ภาชนะตั้งบนลังถึง หรือใช้วิธีการตุ๋น คนให้เข้ากันจนได้อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส แล้วยกลงจากไฟ

3. ค่อย ๆ เทโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงในน้ำนมแพะ ผสมให้เข้ากันตั้งทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเหลือ 40 องศาเซลเซียส

4. เทสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (ข้อ 2) ลงในน้ำมัน(ข้อ 3) คนให้เข้ากัน

5. คนไปเรื่อยๆ จนสบู่จับตัวเหนียวข้น สังเกตเนื้อข้นเหมือนนมข้น แล้วจึงเทลงพิมพ์ที่เตรียมไว้

6. ตั้งพิมพ์ไว้ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง จนสบู่จับตัวเป็นก้อนแข็ง ลองใช้นิ้วมือกดดู แล้วจึงเอาออกจากแบบเช็คค่า pH ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 9.5 - 10 เก็บต่อไปอีกนาน 6 - 8 สัปดาห์ เช็คค่า pH ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งควรจะอยู่ระหว่าง 8 - 9 จึงนำไปใช้



ตัวอย่างสูตรสบู่สมุนไพร สบู่ขมิ้น

ส่วนผสม 1. น้ำมันมะพร้าว 140 กรัม 2. น้ำมันปาล์ม 60 กรัม 3. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 32 กรัม 4. สารสกัดขมิ้น 10 กรัม 5. น้ำ 70 กรัม



วิธีทำ

1. เตรียมแม่แบบทำสบู่ตามขนาดและรูปร่างตามที่ต้องการ

2. ค่อย ๆ เทโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงในน้ำ ผสมให้เข้ากันตั้งทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเหลือ 40 ๐c

3. เตรียมสารสกัดขมิ้น

4. ผสมน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันปาล์ม แล้วผสมในน้ำมันมะกอก

5. เทสารละลายด่าง(ข้อ 2) ลงในน้ำมัน(ข้อ 4) คนสักครู่ จึงเติมสารสกัดขมิ้นลงไป สี, กลิ่นคนให้เข้ากัน

6. เมื่อเริ่มเกิดเป็นสบู่ สังเกตเนื้อข้นเหมือนนมข้น เทลงพิมพ์

7. ตั้งพิมพ์ไว้ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง จนสบู่จับตัวเป็นก้อนแข็ง ลองใช้นิ้วมือกดดู แล้วจึงเอาออกจากแบบเช็คค่า pH ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 9.5 - 10 เก็บต่อไปอีกนาน 6 - 8 สัปดาห์ เช็คค่า pH ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งควรจะอยู่ระหว่าง 8 - 9 จึงนำไปใช้



สูตรสบู่สารสกัดมังคุด

ส่วนผสม 1. น้ำมันมะพร้าว 50 กรัม 2. น้ำมันปาล์ม 25 กรัม 3. น้ำมันทานตะวัน 20 กรัม 4. น้ำมันมะกอก 5 กรัม 5. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 17 กรัม 6. สารสกัดมังคุด 5 กรัม 7. น้ำ 40 กรัม



วิธีทำ

1. เตรียมแม่พิมพ์แบบสบู่ตามขนาดและรูปร่างที่ต้องการ

2. ค่อย ๆ เทโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงในน้ำ ผสมให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ให้ อุณหภูมิเหลือ 40 - 45 องศาเซลเซียส

3. เตรียมสารสกัดมังคุด

4. สมน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันปาล์ม น้ำมันทานตะวันและน้ำมันมะกอก รวมกันนำไปอุ่นให้อุณหภูมิ 40 - 50 องศาเซลเซียส

5. เทสารละลายด่างลงใน (ข้อ 4) คนให้เข้ากัน เติมกลิ่นตามต้องการ

6. เมื่อเริ่มเกิดเป็นสบู่ สังเกตจากเนื้อจะข้นเหมือนนมข้น เทลงพิมพ์

7. ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง จนสบู่จับตัวเป็นก้อนแข็ง ลองใช้นิ้วมือกดดู แล้วจึงเอาออกจากพิมพ์ เช็คค่า pH ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 9.5 - 10 เก็บต่อไปอีกนาน 6 - 8 สัปดาห์ เช็คค่า pH ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งควรจะอยู่ระหว่าง 8 - 9 จึงนำไปใช้



สบู่ชาเขียว

ส่วนผสม 1. น้ำมันมะพร้าว 100 กรัม 2. น้ำมันปาล์ม 100 กรัม 3. น้ำมันมะกอก 200 กรัม 4. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 48 กรัม 5. น้ำ 100 กรัม 6. สารสกัดชาเขียว 50 กรัม (ชาเขียวใส่น้ำต้ม) 7. น้ำมันหอมระเหยหรือน้ำหอม 1 ซีซี.



วิธีทำ

1. เตรียมแบบหรือแม่พิมพ์

2. ชั่งน้ำ 100 กรัม เทใส่ภาชนะแก้ว

3. ใส่โซเดียมไฮดรอกไซด์ 58 กรัม ใช้แท่งแก้วคนจนด่างละลายหมด อุณหภูมิสูงมาก ทิ้งไว้ให้เย็น ณ อุณหภูมิห้อง จะได้สารสกัดใส ไม่มีสี

4. ชั่งน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะกอกผสมในภาชนะสแตนเลส อุ่นน้ำมัน 40 องศาเซลเซียส แล้วยกลง ทิ้งให้เย็น

5. เท 2 ลงใน 3 กวนให้เข้ากัน ใส่สารสกัดชาเขียว จนส่วนผสมเริ่มข้น คล้ายครีมสลัด ใส่น้ำหอมหรือน้ำมันหอมระเหย กวนต่อ และเทลงแบบพิมพ์

6. สบู่จะจับเป็นก้อนแข็ง ทิ้งไว้ 3 สัปดาห์ สบู่จะจับตัวสีข้น ตรวจสารวัดความเป็นกรดเป็นด่าง pH ประมาณ 8 - 9 จึงนำไปใช้ได้





สมุนไพรที่นำมาเป็นส่วนผสมของสบู่ สมุนไพรที่นำมาเป็นส่วนผสมของสบู่มีคุณประโยชน์ต่อผิวดังต่อไปนี้

1. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ได้แก่ ว่านหางจระเข้ ส่วนที่ใช้ วุ้นจากใบ การนำมาใช้ ตัดเอาช่วงโคนใบ ล้างน้ำจนยางเหลืองหมด แช่ทิ้งไว้ 15 นาที ปอกเปลือกออกแล้วล้างวุ้นให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่น กรองด้วยผ้าขาวบาง นำน้ำที่ได้มาใช้ กล้วย ส่วนที่ใช้ ผลสุกนำไปตากแห้ง การนำมาใช้ นำผลกล้วยสุกหั่นเป็นชิ้นบางๆ นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปใส่เครื่องบดหรือใช้ครกตำบด ให้เป็นผงละเอียด มะละกอ ส่วนที่ใช้ ผล การนำมาใช้ นำผลสุกปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด จนเป็นน้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง 2 ครั้ง ส้ม ส่วนที่ใช้ น้ำคั้นจากผล การนำมาใช้ คั้นน้ำจากผล แล้วกรองให้สะอาด รำข้าว ส่วนที่ใช้ รำแห้ง การนำมาใช้ นำรำแห้งมาบดเป็นผงละเอียด

2. มีกรดบำรุงผิว ได้แก่ ส้มป่อย ส่วนที่นำมาใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบส้มป่อยล้างให้สะอาดหั่นหยาบๆ แล้วนำไปต้มในน้ำ มะขาม ส่วนที่ใช้ ฝักสุก การนำมาใช้ นำมาขามฝักสุกมากระเทาะเปลือกออก นำไปต้มกับน้ำ มะนาว มะเฟือง มะดัน มะไฟ สับปะรด ส้มแขก ส่วนที่ใช้ ผลสด การนำมาใช้ คั้นเอาน้ำจากผลสดไม้ต้องนำไปต้ม เอาไปใช้ได้เลย ใบบัวบก ส่วนที่ใช้ ใบสด การนำมาใช้ ใช้วิธีสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ขมิ้นชัน ส่วนที่ใช้ หัว การนำมาใช้ ใช้วิธีสกัดด้วยแอลกอฮอล์หรือนำมาบดเป็นผงแห้ง

3. รักษาผิวหนังผื่นคัน ฝรั่ง ส่วนที่ใช้ ใบที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป การนำมาใช้ นำใบมาตากให้แห้ง แล้วบดเป็นผงหรือนำใบตากแห้งแล้วมาต้ม กรองเอาแต่น้ำ ทับทิม, มังคุด ส่วนที่ใช้ เปลือก การนำมาใช้ นำเปลือกไปตากแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง หรือนำเปลือกไปตากแล้วมาต้มกรองเอาแต่น้ำ สะระแหน่ ส่วนที่ใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบตากแห้งแล้วบดเป็นผง หรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์ กานพลู ส่วนที่ใช้ ดอก การนำมาใช้ นำดอกไปตากแห้ง แล้วนำไปสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ฟ้าทลายโจร เสลดพังพอน ส่วนที่ใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบแห้งมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ เหงือกปลาหมอ สำมะงา ส่วนที่ใช้ ใบแห้ง การนำมาใช้ นำใบแห้งมาต้มกับน้ำกรอง ใบหนาด ส่วนที่ใช้ ใบ การนำมาใช้ นำใบแห้งมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ว่านหางช้าง ส่วนที่ใช้ เหง้า การนำมาใช้ ล้างให้สะอาดนำมาต้มกับน้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง

4. ขัดผิว ขิง ขมิ้น ส่วนที่ใช้ หัว เหง้า การนำมาใช้ นำเหง้าไปผึ่งให้แห้งแล้วนำมาบดเป็นผงละเอียด ไปทำดูนะคะ)

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

THE TRUE NATURE OF THINGS

The word "religion" has a broader meaning than the word "morality." Morality has to do with behaviour and happiness, and is basically the some the world over. A religion is a system of pracitice of a hight order. The ways of practice advocated by the various religions differ greatly





Morality makes us good people, behaving in accordance with the general principles of community life and in such a way as to cause no distress to ourselves or others. But though a person may be thoroughly moral, he may still be far from free from the suffering attendant on birth, aging, pain, and death, still not free from oppression by the mental defilements. Morality stops well short of the elimination of craving, aversion, and delusion, so cannot do away with suffering. Religion, particularly Buddhism, goes much further than this. It aims directly at the complete elimination of the defilements, that is, it aims at extinguishing the various kinds of suffering attendant on birth, aging, pain, and death. This indicates how religion deffers from mere morality, and how much further Buddhism goes than the moral systems of the world in general. Having understood this, we can now turn our attention to Buddhism Itself.




Buddhism is a system designed to bring a technical knowledge inseparable from its technique of practice, an organized practical understanding of the true nature of things of"what is what." If you keep this definition in mind, you should have no difficulty understanding Buddhism.




Examine yourself and see whether or not you know "what is what." Even if you know what you are yourself, what life is, what work, duty, livelihood, money, possessions, honour, and fame are, would you dare to claim that you knew everything? If we really knew "what is what," we would never act inappropriately; and if we always acted appropriately, it is a certainty that we would never be subject to suffering. As it is, we are ignorant of the true nature of things, so we behave more or less inappropriately, and suffering results accordingly. Buddhist practice is designed to teach us how things really are. To know this in all clarity is to attain the Fruit of the Path, perhaps even the final Fruit, Nirvana, because this ver knowledge is what destroys the defilements.




When we come to know "what is what," or the true nature of things, disenchantment with things takes the place of fascination, and deliverance from suffering comes about automatically. At the moment, we are practising at a stage where we still do not know what things are really like, in particular, at the stage of not yet realizing that all things are impermanent and do not have individual selves. We don't as yet realize that life, all the things that we become infatuated with, like, desire and rejoice over, is impermanent, unsatisfactory and not a permanent self, It is for this reason that we become infatuated with those things, liking them, desiring them, rejoicing over them, grasping at them and clinging to them. When, by following the Buddhist menthod, we come to know things aright, to see clearly that they are all impermanent. unsatisfactory and not selves, that there is really nothing about things that might make it worth attaching ourselves to them, then there will immediately come about a slipping free from the controlling power or those things.




Essentially the Buddha's teaching as we have it in the Tipitaka is nothing but the knowledge of "what is what" or the true nature of things - just that. Do keep to this definition. It is an adequate one and it is well to bear it in mind while one is in the course of practising. We shall now demonstrate the validity of this definition by considering as an example the Four Noble Truths.




The First Noble Truth, which points out that all things are suffering (all things cause suffering), tells us precisely what things are like. But we fail to realize that all things are a source of suffering and so we desire those things. If we recognized them as a source of suffering. not worth desiring not wotht grasping at and clinging to, not worht attaching ouselves to, we would be sure not to desire them.The Second Noble Truth points out that desire is the cause of suffering. People still don't know, don't see, don't understand, that desires are the cause of suffering. They all desire this, that, and the other, simply because they don't understand the nature of desire. The Third Noble Truth points out that deliverance, freedom from suffering, Nivana, consists in the complete extinguishing of desire. People don't realize at all that Nirvana is something that may be attained at any time or place, that it can be arrived at just as soon as desire has been completely extinguished. So, not knowing the facts of life, people are not interested in extinguishing desire. They are not interested in Nirvana because they don't know what it is.


The Fourth Noble Truth is called the Path and constitutes the method for extinguisthing desire. No one understands it as a method for extinguishing desire. No one is interested in the desire extinguishing Noble Eightfold Path. People don't recognize it as their very point of support, their foothold something which they ought to be most actively reinforcing. They are not interested in the Buddha's Noble Path, which happens to be the most excellent and precious thing in the entire mass of human knowledge, in this world or any other. This is a most horrifying piece of ignorance. We can see, then that the Four Noble Truths are information telling us clearly just "what is what." We are told that if we play with desire, it will give rise to suffering, and yet we insist on playing with it until we are brim full of suffering. This is foolishness. Not really knowing "what is what" or the true nature of things, we act inappropriately in every way. Our actions are appropriate all too rarely. They are usually "appropriate" only in terms of the values of people subject to craving, who would say that if one gets what one wants, the action must have been justifiled. But spiritually speaking, that action is unjustifiable.


Now we shall have a look at a stanza from the texts which sums up the essence of Buddhism, namely the words spoken by the Bhikkhu Assaji when he met Sariputta before the latter's ordination. Sariputta asked to be told the essence of Buddhism in as few words as possible. Assaji answered: "All phenomena that arise do so as a result of causes. The Perfected One has shown what the causes are, and also how all phenomena may be brought to an end by eliminating those causes. This is what the Great Master teaches." He said in effect: Everything has causes that combine to produce it. It can not be eliminated unless those causes have been eliminated first. This is a word of guidance warning us not to regard anything as a permanent self. There is nothing permanent. There are only effects arising out of causes, developing by virtue of causes, and due to cease with the cessation of those causes. All phenomena are merely products of causes. The world is just a perpetual flux of natural forces incessantly interacting and changing. Buddhism points out to us that all things are devoid of any self entity. They are just a perpetual flux of change, which is inherently unsatisfactory becasuse of the lack of freedom ,the subjection to causality. This unsatisfactoriness will be brought to an end as soon as the process stops; and the process will stop as soon as the causes are eliminated so that there is no more interacting. This is a most profound account of "what is what" or the nature of things, such as only an enlightened individual could give. It is the heart of Buddhism. It tells us that all things are just appearances and that we should not be fooled into liking or disliking them. Rendering the mind truly free involves escaping completely from the causal chain by utterly elminating the causes.In this way, the unsatisfactory condition which results from liking and disliking will be brought to an end.


Let us now examine the Buddha's intention in becoming an ascetic. What motivated him to become a bhikkhu? This is clearly indicated in one of his discourses, in which he says that he left home and become a bhikkhu in order to answer the question. "what is the Good?" The word "good" (Kusala), as used here by the Buddha, refers to skillfulness, to absolutely right knowledge. He wanted to know in particular what is suffering. what is the cause of suffering, what is freedom from suffering. To attain perfect and right knowledge is the ultimate in skill. The aim of Buddhism is nothing other than this perfection of knowledge of "what is what" or the true nature of things.


Another important Buddhist teaching is that of the Three Characteristics, namely impermanence (anicca), unsatisfactoriness or suffering (dukkha), and non - selfhood (anatta). Not to know this teaching is not to know Buddhism. It points out to us that all things are impermanent (anicca),all things are unsatisfactory (dukkha), and all things are not selves (anatta) in saying that all things are impermanent we mean that all things change perpetually, there being no entity or self that remains unchanged for even an instant. That all things are unsatisfactory means that all things have inherent in themselves the property of conducing to suffering and torment. They are inherently unlikable and disenchanting. That they are not selves is to say that in nothing whatsoever is there any entity which we might have a right to regard as its "self" (myself) or to call "its own" (mine).If we grasp at things and cling to things, the result is bound to be suffering. Things are more dangerous than fire because we can at least see a fire blazing away and so don't go too close to it, whereas all things are a fire we can't see. Consequently we go about voluntarily picking up handfuls of fire, which is invariable painful. This teaching tells us what things are like in terms of the Three Characteristics. Clearly Buddhism is simply an organized practical system designed to show us "what is what."


We have seen that we have to know the nature of things. We also have to know how to practise in order to fit in with the nature of things. There is another teaching in the texts, known as the Chief of all Teachings. If consists of three brief points:"Avoid evil, do good, purify the mind". This is the principle of the practice. Knowing all things as impermanent, worthless, and not our property, and so not worth clinging to, not worth becoming in fatuated with, we have to act appropriately and cautiously with respect to them, and that is to avoid evil. It implies not to break with accepted moral standards and to give up excessive craving and attachment. On the other hand, one is to do good. good as has come to be understood by wise people. These two are simply stages in morality. The third, which tells us to make the mind completely pure of every kind of contaminating element, is straight Buddhism. It tells us to make the mind free. As long as the mind is not yet free from domination by things, it cannot be a clean, pure mind. Mental freedom must come from the most profound knowledge of the "what is what." As long as one lacks this knowledge, one is bound to go on mindlessly liking or disliking things in one way or another. As long as one cannot remain unmoved by things, one can hardly be called free. Basicly we human beings are subject to just two kinds of emotional states: liking and disliking (which correspond to pleasant and unpleasant mental feeling). We fall slaves to our moods and have no real freedom simply because we don't know the true nature of moods or "what is what." Linking has the characteristic of seizing on things and taking them over: disliking has the characteristic of pushing things away and getting rid of them. As long as these two kinds of emotional states exist, the mind is not yet free. As long as it is still carelessly liking and disliking this, that,and the other, there is no way it can be purified and freed from the tyranny of things. For this very reason, this highest teaching of Buddhism condemns grasping and clinging to things attractive and repulsive. ultimately condemning even attachment to good and evil. When the mind has been purified of these two emotional reactions, it will become independent of things.
Other religions would have us simply avoid evil and grasp at good ness. They have us grasp at and become attached to goodness, even including the epitome of goodness. namely God. Buddhism goes much further,condemning attachment to anything at all. This attachment to goodness is right practice at the intermediate level, but it just can't take us to the highest level no matter what we do. At the lowest level we avoid evil, at the intermediate level we do our utmost to do good, while at the highest level we make the mind float hight above the domination of both good and evil. The condition of attachment to the fruits of goodness is not yet complete liberation from suffering, because, while an evil person suffers in a way befitting evil persons, a good person suffers also, in a way befitting good persons. Being good, one experiences the kind of suffering appropriate to good human beings. A good celestial being experiences the suffering appropriate to celestial beings, and even a god or Brahma experiences the suffering appropriate to gods. But complete freedom from all suffering will come only when one has broken free and transcended even that which we call goodness to become an Ariyan, one who has transcended the worldly condition, and ultimately to become a fully perfected individual,an Arahant.
Now as we have seen, Buddhism is the teaching of the Buddha, the Enlightened One, and a Buddhist is one who practises according to the teaching of the Enlightened One With regard to what was he enlightened? He simply knew the nature of all things. Buddhism, then is the teaching that tells us the truth about "what thing are really like" or "what is what". It is up to us to practise until we have come to know that truth for ourselves. We may be sure that once hat perfect knowledge has been attained, craving will be completely destroyed by it, because ignorance will cease to be in the very same moment that knowledge arises. Every aspect of Buddhist practice is designed to bring knowledge. Your whole purpose in setting your mind on the way of practice that will penetrate to Buddha - Dhamma is simply to gain knowledge. Only, let it be right knowledge, knowledge attained through clear insight, not worldly knowledge, partial knowledge, halfway knoledge, which for example clumsily mistakes bad for good, and a source of suffering for a source of happiness.Do try your utmost to look at things in terms of suffering,and so come to know, gradually, step by step. Knowledge so gained will be Buddhist knowledge based on sound Buddhist principles.
Studying by this method, even a woodcutter without book-learning will be able to penetrate to the essence of Buddhism, while a religious scholar with several degrees, who is completely absorbed in studying the Tipitaka but doesn't look at things from this point of view may not penetrate the teaching at all. Those of us who have some intelligence should be capable of investigating and examining things and coming to know their true nature. Each thing we come across we must study, in order to understand clearly its true nature. And we must understand the nature and the source of the suffering which it produces, and which sets us alight and scorches us. To estblish mindfullness, to watch and wait, to examine in the manner described the suffering that comes to one - this is the very best way to penetrate to Buddha-Dhamma. It is infinitely better than learning it from the Tipitaka. Busily studying Dhamma in the Tipitaka from the linguistic or literary viewpoint is no way to come to know the true nature of things. Of course the Tipitaka is full of explanations as to the nature of things; but the trouble is that people listen to it in the manner of parrots or talking myna birds, repeating later what they have been able to memorize. They themselves are incapable of penetrating to the true nature of things. If instead they would do some introspection and discover for themselves the facts of mental life, find out first hand the properties of the mental defilements,of suffering , of nature, in other words of all the things in which they are involved, they would then be able to penetrate to the real Buddha-Dhamma. Though a person may never have seen or even heard of the Tipitaka, if he carries out a detailled investigation every time suffering arises and scorches his mind he can be said to be studying the Tipitaka directly, and far more correctly than people actually in the process of reading it . These may be just caressing the books of the Tipitaka every day without having any knowledge of the immortal Dhamma, the teaching contained within them. Likewise, we have ourselves, we make use of ourselves, we train ourselves, and we do things connected with ourselves every day, without knowing anything about ourselves, without being able to handle adequately problems concerning ourselves. We are stell very definitely subject to suffering , and craving is still present to produce more and more suffering every day as we grow orlder, all simply because we don't know ourselves. We still don't know the mental life we live. To get to know the Tipitaka and the profound things hidden within it is most difficult. Let us rather set about studying Buddha - Dhamma by getting to know ore own true nature. Let us get to know all the things which make up this very body and mind. Let us learn from this life: life which is spinning the results of the action, which then nourish the will to desire again, and so on, over and over incessantly; life which is obliged to go spinning on in the circle of samsara, that sea of suffering , purely and simply because of ignorance as to the true nature of things or "what is what."
Summing up, Buddhism is an organized practical system designed to reveal to us the "what is what". Onece we have seen things as they really are , we no longer need anyone to teach or guide us. We can carry on practising by ourselves. One progresses along the Ariyan Path just as rapidly as one elminates the defilements and gives up inappropriate action. Ultimately one will attain to the best thing possible for a human being, what we call the Fruit of the Path, Nivana. This one can do by oneself simply by means of coming to know the ultimate sense of the "what is what."

LOOKING AT BUDDHISM

If we open any recent book on the origins of religion, we find that there is one point on which all authors are in agreement, They agree that religion arose in the world out of fear. Primitive man feared thunder and lightning, darkness and storm, and various things about him that he was unable to understand or control. His method of avoiding the danger he saw in these phenomena was to demonstrate either humility and submission or homage and reverence, depending on which he felt was most appropriate.




Later, as man's knowledge and understanding developed, this fear of the forces of nature changed into a fear of phenomena more difficult to apprehend. Religions based on deference to objects of fear such as natural phenomena, spirits and celestial beings, came to be looked down upon as unreasonable and ridiculous. And then man's fear became still more rifined into a fear of suffering, suffering of the sort that cannot be alleviated by any material means. He came to fear the suffering inherent in birth, aging , pain, and death, the disappointment and hopelessness which arise out of desire, anger, and stupidity, which no amount of power or wealth can relieve. Long ago in India, a country well provided with thinkers and investigators, intelligent people dispensed with all paying of homage to supernatural beings. They started seeking instead the means of conquering birth, aging, pain, and death, the means of eliminating greed, hatred,and delusion. Out of this search arose Buddhism, a higher religion based on insight, a method for destroying the mental defilements. Buddhism has its origins in fear of this last kind, just as do all religions based on intelligence. The Buddha discovered how to conquer absolutely what man fears : he discovered a practical method, now called Buddhism, for eliminating suffering




"Buddhism" means "the Teaching of the Enlightened One." A Buddha is an enlightened individual, one who knows the truth about all things, one who khows just "what is what," (knows things just as they are) and so is capable of behaving appropriately with respect to all things. Buddhism is a religion based on intelligence, science, and knowledge, whose purpose is the destruction of suffering and the source of suffering. All paying of homage to sacred objects by means of performing rites and rituals, making offerings or praying is not Buddhism. The Buddha rejected the celestial beings, then considered by certain groups to be the creaators of things, and the deities supposed to dwell, one in each star, in the sky. Thus we find that the Buddha made such statements as these:




"Knowledge, skill and ability are conducive to success and benefit and are auspicious omens, good in their own right, regardless of the movements of the heavenly bodies. With the benefits gained from these qualities, one will completely outstrip those foolish people who just sit making their astrological calculations,"and: "If the water in rivers (such as the Ganges) could really wash away sins and sufering, then the furtles, crabs, fish and shellfish living in those sacred rivers ought by now to be freed of their sins and sufferings too." And: "If a man could eliminate suffering by making offerings, paying homage, and praying,there would be no one subject to suffering left in the world, Because anyone at all can pay homage and pray.But since people are still subject to suffering while in the very act of making obeisances, paying homage, and perfoming rites, this is clearly not the way to gain liberation."




To attain liberation, we first have to examine things closely in order to come to know and understand their true nature. Then we have to behave in a way appropriate to that true nature. This is the Buddhist teaching; this we must know and bear in mind. Buddhism has nothing to do with prostrating oneself and deferring to awesome things. It sets no strore by rites and ceremonics such as making libations of holy water, or any externals whatsoever, spirits and celestial beings included. One the contrary, it depends on reason and insight. Buddhism does not demand conjecture or supposition; it demands that we act in accordance with what our own insight reveals and not take anyone else's word for anything. If someone comes and tells us something, we must not believe him without question. We must listen to his statement and examine it. Then if we find it reasonable, we may accept it provisionally and set about trying to verify it for ourselves. This is a key feature of Buddhism, which distinguishes it sharply from other world religions.




Now a religion is a many sided thing. Seen from one angle it has a certain appearance; seen from another angle, it has another. Many people look at religion from the wrong angle, and Buddhism is no exception. Different individuals looking at Buddhism with different mental attitudes are bound to get different views of it. Because each of us naturally has confidence in his own opinions, the truth for each of us conincides with our own particular understanding and point of view. Consequently."the Truth" is not quite the same thing for different people. They all penetrate questions to varying depths, by varying nethodes, and with varying degrees of intellingence. A person does not recognize as true, according to his own ideas of the Truth, anything that lies beyond his own intelligence, knowledge, and understanding. And even though he may outwardly go along with other people's ideas as to what is the truth, he knows in himself that it is not the truth as he himself sees it. Each person's conception of the truth may change and develop with the day by day increase in his degree of intelligence, khowledge, and understanding, until such time as he arrives examining and testing before beliving. So if Buddhism is pictures of it will be seen, simply because it can be viewed from any aspect.




As we have said, Buddhism is a practical method for liberating oneself from suffering by means of coming to realize, as did the Buddha himself, the true nature of things. Now any religious text is bound to contain material which later people have found occasion to add to it, and our Tipitaka is no exception. People in later ages have added sections based on then current ideas, either in order to boost people's confidence, or out of excessive religious zeal. Regrettably even the rites and rituals which have developed and become mixed in with the religion are now accepted and become mixed in with the religion are now accepted and recognized as Buddhism proper. Ceremonies, such as setting up trays of sweets and fruit as offerings to the "soul" of the Buddha in the same way as aims-food is offered to a monk just do not fit in with Buddhist principles. Yet some groups consider this to be genuine Buddhist practice, teaching it as such and keeping to it very strictly.




Rites and ceremonies of this kind have become so numerous that they now completely obscure the real Buddhism and its original purpose. Take for example the Procedure of becoming ordained a monk. There has come into existence the ceremony of making gifts to the newly ordained bhikkhu. Guests are invited to bring food and to watch proceedings, and as a result, there is much drunkeness and noise. Ceremonies are performed both at the temple and in the home. The new bhikkhu leaves the Order only a few days after having been ordained, and may become an even stronger temple hater than he was before. It must be borne in mind that there was none of this at the time of the Buddha. It is a later development. Ordination at the time of the Buddha meant simply that some individual, who had obtained his parent's consent, renounced home and family. He was a person who was able to close accounts at home and go off to join the Buddha and the Order of bhikkhus. On some convenient occasion he would go and be ordained,and perhaps not see his parents or family again for the rest of his life. Though some bhikkhus might go back to visit their parents again on suitable occasions, this was rare. There does exist a rule permitting a bhikkhu to go home when there is a good reason for doing so, but at the time of the Buddha this was not observed. Bhikkhus did not receive ordination with their parents in attendance, nor did they celebrate the event as a great occasion,only to leave the Sangha after just a few days, no better off than before, as commonly happens in the present day.




All this presenting of gifts to newly ordained bhikkhus,this performing of ceremonies, including all sorts of celebration, these we are foolish enough to call Buddhism! Furthermore we choose to make much of them, thinking nothing of spending all our own money, or other people's on account of them. This "Neo-Buddhism" is so widespread as to be almost universal. The Dhamma, the genuine teaching that once was paramount, has become so overlaid by ceremony that the whole objective of Buddhism has been obscured. falsified and changed. Ordinationg,for instance, has become a face saving gambit for young men whom people have been pointing at for never having been ordained, or a prerequisite to finding a wife (as having been a monk is considered a sign of maturity), or is done with some other kind of ulterior motive. In some places an ordination is regarded as an opportunity for collecting money, for which job there are always people on hand to help. It is one way of getting rich. Even this they call Buddhism and anyone who goes and criticizes this is considered be ignorant of Buddhism or opposed to it.




Another example is the presentation of kathina cloth. The Buddha's original intention was to have cloth for robes given to all the bhikkhus simultaneously so that they could sew it together themselves with a minimum loss of time. It there was only necessarily the most senior one, whom the group considered worthy of using that robe or in need of it, and was presented to him in the name of the entire order. The Buddha's intention was to avoid any bhikkhu having a hight opinion of himself. On that day everyone, regardless of Seniority, had to humble himself and be one of the crowd. Everyone had to lend a hand cutting and sewing the cloth, boiling tree pith to make the dye, and doing whatever else was involved in getting the robes ready and finished the some day. Making the cloth into robes was a co-operative effort. That is how the Buddha intended it to be, an event not necessarily involving lay people at all. But nowadays it has become an affair involving ceremony, fun and games, loud laughter and money seeking. It is just a picnic and is devoid of all the desirable results originally intended.





This sort of thing is a tumour which has developed in Buddhism and thrived. The tumour takes hundreds of different forms too numerous to name. It is a dangerous, malignant growth which by degrees has completely overlaid and obscured the good material, the real pith of Buddhism, and quite disfigured it. One result of this has been the arising of many sects, some large, some insignificant, as offshoots from the original religion. Some sects have even become involved in sensuality. It is essential that we should discriminate in order to recognize what is the real, original Buddhism. We must not foolishly grasp at the outer shell, or become so attached to the various rituals and ceremonites that the real objective becomes quite lost to view. The real practice of Buddhism is based on purification of conduct by way of body and speech, followed by purification of the mind, which in its turn leads to insight and right understanding. Don't go thinking that such and such is Buddhism just because everyone says it is. The Tumour has been spreading constantly since the day the Buddha passed away, expanding in all directions right up to the present day, so that it is now quite sizabel. The tumour in Buddhism must not be misidentified as Buddhism itself. It is also wrong for people of other religions to come and point at these shameful anddisgraceful growths as being Buddhism. It is unjust, because these things are not Buddhism at all; they are excressences. Those of us interested in furthering Buddhism, whether as a foothold for all people, or for our own private well being, must know how to get hold of the true essence of Buddhism and not just grab at some worthless outgrowth.





Now even the genuine Buddhism is many sided, a fact which may lead to a false grasp of true meaning. For instance, if looked at from the point of view of a moral philosopher, Buddhism is seen to be a religion of morality. There is talk of merit and demerit, good and evil, honesty,gratitude, harmony,open-heartedness, and much more besides. The Tipitaka is full of moral teachings. Many newcomers to Buddhism approach it from this angle and are attracted to it on this account.





A more profound aspect is Buddhism as Truth, as the deep hidden truth lying below the surface and invisible to the ordinary man. To see this truth is to know intellectually the emptiness of all things; the transience. unsatisfactoriness, and non-selfhood of all things; to know intllectually the nature of suffering, of the complete elimination of suffering and of ther way to attain the complete elimination of suffering; to perceive these in terms of absolute truth, the kind that never changes and which everyone ought to know. This is Buddhism as Truth.





Buddhism as Religion is Buddhism as a system of practice based on morality, concentration, and insight, and culminating in liberating insight; a system which when practised to completion enables one to break free from suffering. This is Buddhism as Religion.





Then there is Buddhism as Psychology, as it is presented to us in the third section of the Tipitaka, where the nature of the mind is described in remarkable detail. Buddhist psychology is a source of interest and astonishment to students of the mind even in the present day. It is far more detailed and profound than present day psychological knowledge.





Another aspect is Buddhism as Philosophy. Philosophical knowledge can be clearly seen by mean of reasoned logical proofs but cannot be demonstrated experimentally. It contrasts with science, which is knowledge resulting from seeing something clearly, with our eyes, or through physical experimentation and proof, or even with the "inner eye" of intuition. Profound knowledge such as that of "emptiness"(impermanence) is just philosophy for a person who has not yet penetrated to the truth, and science for another who has done so, such as a fully enlightened individual, or arahant, who has seen it clearly, intuitively. Many aspects of Buddhism, in particular the Four Noble Truths, are scientific in so far as they can be verified by clear experimental proof using introspection. For anyone equipped with awareness and interested in studing and carrying out research, the cause-effect relationships are there just as in science. Buddhism is not just something obscure and vague, not just philosophy, as man made subjects are.





Some look on Buddhism as Culture. Anyone with a high regard for culture finds many aspects of Buddhist practice which are common to all cultures and also many that are characteristically Buddhist and far better and higher than anything in other cultures.





Of all these various aspects, the one a real Buddhist ought to take most interest in is Buddhism as Religion. We ought to look on Buddhism as a direct practical method for gaining knowledge of the true nature of things, knowledge which makes it possible to give up every form of grasping and clinging, of stupidity and infatuation, and become completely independent of things. To do this is to penetrate to the essence of Buddhism. buddhism considered in this aspect is far more useful than Buddhism considered as mere morality, or as truth which is simply profound knowledge and not really practical; and more useful than Buddhism considered as philosophy, as something to be enjoyed as an object of speculation and argument, but of no value in the giving up of the mental defilements;and certainly more useful than Buddhism considered simply as culture. as attractive behaviour, note worthy from the sociological viewpoint.





At the ver lease, everyone ought to consider Buddhism as Art. as the Art of Living - in other words, as skill and competence in being a human being, living in a way that is exemplary and praiseworthy, which so impresses others that they automatically wish to wmulate it What we have to do is to cultivate the "Three Lustres," firstly developing moral purity, then training the mind to be tranquil and steady and fit to do its job; and finally developing such an abundance of wisdom and clear insight into the nature of all things that those things are no longer able to give rise to suffering. When anyone's life has these Three Lustres, he can be considered to have fully mastered the art of living. Westerners are extremely interested in Buddhism as the Art of Living,and discuss this aspect more than any other. Penetrating so far into the real essence of Buddhism that we are able to take it as our guide to living induces spiritual good cheer and joy, dispersing depression and disillusionment. It also dispels fears, such as the fear that the complete giving up of spiritual defilements would make life dry and dreary and utterly devoid of flavour, or the fear that complete freedom from craving would make all thought and action impossible, whereas in reality a person who organizes his life in accordance with the Buddhist Art of Living is the victor over all the things about him. Regardless of whether these things be animals,people,possessions,or anything else, and regardless of whether they enter that person's consciousness by way of the eye, ear,nose,tongue,body,or mind, they will enter as losers, unable to becloud, defile,or perturb him. The victory over all these things is genuine bliss.





Buddha-Dhamma will enrapture a mind that has developed a taste for it. It can be considered an indispensible form of nourishment too. True, a person still controlled by the defilements continues to desire nourishment by way of the eye,ear,nose,tongue,and body and goes in search of it as suits his nature. But there is another part of him, something deeper, that does not demand that sort of nourishment. It is the free or pure element in his mind. It wishes the joy and delight of spiritual nourishment, starting with the delight that results from moral purity. It is the source of contentment for fully enlightened individuals, who possess such traquility of mind that defilements connot disturb them, who possess clear insigt into the true nature of all things and have no ambitions with regard to any of them. They are, so to speak, able to sit down without being obliged to run here and there like those people to whom the Buddha applied the simile "smoke by night, fire by day."





"Smoke by night" refers to sleeplessness, restlessness. A sufferer from this complaint lies all night with hand on brow, planning on going after this and that, working out how to get money, how to get rich quickly and get the various things he desires. His mind is full of "smoke." All he can do is lie there until morning, when he can get up and go running off in obedience to the wishes of the "smoke" he has been holding back all night. This fervent activety is what he Buddha referred to as "fire by day." These are the symptoms of a mind that has not achieved tranquility, a mind that has been deprived of spiritual nourishment. It is a pathological hunger and thirst induced by the defilement called craving. All night long the victim represses the smoke and heat, which in the morning becomes fire, and then blazes hot inside him all day. If a person is obliged, throughout his entire life, to suppress the "smoke by night," which then becomes "fire by day," how can he ever fine peace and coolness? Just visualize his condition. He endures suffering and torment all his life, from birht up until he is placed in the coffin, simply for lack of the insight that could completely extinguish that fire and smoke. To treat such a complaint one has to make use of the knowledge provided by the Buddha. The smoke and fire diminish in proportion to one'degree of understanding of the true nature of things.





As we have said. Buddhism has a number of different aspects or sides. Just as the same mountain when viewed from a different direction presents a different appearance, so different benefits are derived from Buddhism according to how one looks at it. Even Buddhism has its origins in fear - not the foolish fear of an ignorant person who kneels and makes obeisance to idols or strange phenomena, but a higher kind of fear, the fear of perhaps never attaining liberation from the oppression of birth, aging, pain, and death, from the various form of suffering we experience. The real Buddhism is not books, not manuals, not word for word repetition from the Tipitaka, nor is it rites and rituals. These are not the real Buddhism. The real Buddhism is the pracitice by way of body, speech, and mind that will destroy the defilements, in part of completety. One need not have anything to do with books or manuals. One ought not to rely on rites and rituals, nor anything else external, including spirits and celestial beings. Rather one must be directly concerned with bodily action, speech and thought. That is one must persevere in one's efforts to control and eliminate the defilements so that clear insight can arise. One will then be automatically capable of acting appropriately, and will be free from suffering from that moment right up to the end





This is the real Buddhism. This is what we have to understand, Let us not go foolishly grasping at the tumour that is obscuring Buddhism, taking it for the real thing.







วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

PREFACE

In this book the Ven. Buddhadasa Bhikkhu has made the point that the whole Budha-Dhamma is nothing but the teaching dealing with "what is what"

It is a remakable fact that in this book the Ven.Buddhadasa has explained the meaning of one topic, thereby covering the spirit of the whole of the Buddhist teaching or the Tipitaka. He says that Buddhism is the religion whic teaches one to know just this much : "what is what." All the chapters in this book dealing with five aggregates, the four kinds of attachment, intuition in a natural way (chapter VII), intuition by methodical practice (chapter VII),and other topics all point to "what is what."

The expression "what is what" seems to be rather easy to understand, as though it were pointless to think about its meaning. But this appears to be the standpoint of the layman or of those who take the materialist's view. When thinking in the language of Dhamma, however, (for details see the 'Two Kings of Language' by the same author recently published in English) the knowledge of "what is what" signifies to 'know things as they really are', in Pali 'yathabhuta nanadassana',i.e. penetrating the Three Marks of everything existent (tilakkhana): the understanding of "what is what" may further be taken in the sense of knowing 'assada, adinava, and nissarana' of all conditioned things, i.e. satisfaction derved from them,the inherent disadvatages, and final emancipation; finally "what is what" is directly pointing at Enlinghtenment.

May the genuine 'loving-kindness' in your minds grow; may it arise in the minds of all beings in the world.

The Sublime Life Mission.





"In the past centuries there have been many learned Teachers who have laid down various paths to show the Truth. Among these, Buddhism is one, and according to it my opinion is that except for the differences in the names and forms of the various religions the Ultimate Truth is the same."

The Dalai Lama Tenzin Gyatso
"Although someone may say there is Buddhism,Chrisitianity, Islam, etc., when he has penetrated to the essential nature of his religion, he will regard all religions as being the same."
Venerable Buddhadasa

FOREWORD

The number of books on Buddhist topics produced by monks in Thailand is quite considerable :but for anyone lacking a knowledge of the Thai language this great volume of literature is, unfortunately, inaccessible. In order to remedy this situation some of the most import works in Thai are now being translated into English.

The present volume is one in a series of works by Venerable Buddhadasa Bhikkhu of Chaiya, South Thailand. It is particularly suited to the reader who wishes to get a complete outline of Buddha-Dhamma expressed in straight forward language.

The Ven. Buddhadasa is well know for the readiness with which he gives non-literal interpretations to the Buddhist texts. Giveing more weight to meditative experience and everyday observation than to philology, he finds meaning in many otherwise obscure points of doctrine. He does not hesitate to reject as naive a word-for-word interpretation that has no bearing on real life.

Particularly valuable in the present work are the author's thoughts on samsara, karma, and re-birth, subjects completely misunderstood by most western students of Buddhism.

To anyone hoping to find in Buddha-Dhamma a guide to life rather than just an object of scholarly study, this "Handbook" is strongly recommended

Buddha - Nigama
Chieng Mai
Thailand.